ใบความรู้ที่ ๑
เรื่องความรู้เกี่ยวกับการเขียนเรียงความ
ความหมายของเรียงความ
เรียงความ เป็นงานเขียนชนิดหนึ่งที่ผู้เขียนมีจุดประสงค์จะถ่ายทอดความรู้ ความคิด
ทรรศนะ ความรู้สึก ความเข้าใจออกมาเป็นเรื่องราว
ด้วยถ้อยคำสำนวนที่เรียบเรียงอย่างชัดเจนและท่วงทำนองการเขียนที่น่าอ่าน
การเลือกเรื่องที่จะเขียนเรียงความ
หากจะต้องเป็นผู้เลือกเรื่องเอง
ควรเลือกตามความชอบหรือความถนัดของตนเอง
การค้นคว้าหาข้อมูลอาจทำได้โดยการค้นคว้าจากหนังสือ นิตยสาร วารสาร
อินเทอร์เน็ต หรือสื่ออื่น ๆ
ประเภทของเรื่องที่จะเขียนเรียงความ
๑.เรื่องที่เขียนเพื่อความรู้
๒.เรื่องที่เขียนเพื่อความเข้าใจ
๓.เรื่องที่เขียนเพื่อโน้มน้าวใจ
องค์ประกอบของเรียงความ
เรียงความมีองค์ประกอบ
๓ ส่วน คือ คำนำ
เนื้อเรื่อง และสรุป งานเขียนทุกประเภทจะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบสามส่วนนี้ ดังจะได้กล่าวถึงรายละเอียดขององค์ประกอบพร้อมกับกลวิธีการเขียนต่อไปนี้
๑.คำนำ
เป็นส่วนหนึ่งของเรียงความส่วนแรกที่มีหน้าที่เปิดประเด็นเข้าสู้เรื่อง เป็นการบอกให้ผู้อ่านทราบว่าผู้เขียนจะเขียนเรื่องอะไร เพื่อชักนำให้คนสนใจอ่านเนื้อเรื่องต่อไป คำนำเป็นส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่งของเรียงความเพราะเป็นส่วนช่วยดึงดูดให้ผู้อ่านหันมาสนใจเรื่องราวที่เขียน ผู้อ่านจะอ่านเรื่องต่อไปหรือไม่ ก็อยู่ที่คำนำนั้นเอง
๒.เนื้อเรื่อง หรือ เนื้อความ
เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของการเขียนเรียงความ เพราะเป็นส่วนที่เสนอความรู้ความคิดความเข้าใจทรรศนะหรือความรู้สึกของผู้เขียนให้แจ่มแจ้งโดยอาจจะยกอุทาหรณ์ สุภาษิต
และประสบการณ์ของผู้เขียนมาสนับสนุนเรื่องที่เขียนได้
นักเรียนจะต้องคิดก่อนเป็นขั้นแรกว่า จะเลือกเขียนเรื่องอะไร มีวัตถุประสงค์และมีขอบเขตในการเขียนกว้างหรือแคบเพียงใด เมื่อคิดวางแผนเป็นลำดับดังกล่าวแล้ว
ก็เริ่มเขียนโครงเรื่องเพื่อเป็นแนวทางในการเขียน
ขั้นตอนต่อไปคือการเรียงเนื้อหาไปตามโครงเรื่องที่ได้กำหนดไว้ โครงเรื่องที่กำหนดไว้เป็นข้อ ๆ
นั้นก็คือเนื้อหาในย่อหน้าหนึ่ง ๆ นั้นเอง
เมื่อจะขยายความแต่ละหัวข้อก็ย่อมจะได้ย่อหน้าที่มีเนื้อหาเป็นเอกภาพและมีน้ำหนัก
และถ้าเขียนแต่ละย่อหน้ามีประโยคใจความสำคัญ
และมีประโยคขยายความที่สนับสนุนประโยคใจความสำคัญอย่างชัดเจนแล้ว เรียงความเรื่องนั้นก็จะเป็นเรียงความที่มีเนื้อหาสมบูรณ์เรียงความแต่ละเรื่องจะมีย่อหน้าเรื่องเท่าใดก็ได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่เรียงความเรื่องหนึ่งจะมีย่อหน้าเนื้อเรื่องเพียงย่อหน้าเดียว
ในการเขียนเรียงความนั้น การใช้ถ้อยคำภาษาเป็นสิ่งสำคัญมาก นักเรียนจะต้องพิถีพิถันในการใช้ภาษา ภาษาที่ใช้ต้องเป็นภาษาแบบเป็นทางการ กล่าวคือภาษาจะถูกต้องตามหลักการเขียน มีการเลือกสรรถ้อยคำมาเรียบเรียงให้กะทัดรัด ชัดเจนอ่านเข้าใจง่าย ราบรื่น
สละสลวย
และมีลีลาการเขียนที่น่าสนใจ
๓.สรุป
เป็นส่วนสุดท้ายของเรียงความที่ผู้เขียนจะเน้นความรู้
ความคิดหลักหรือประเด็นสำคัญของเรื่องที่เขียนอีกครั้งหนึ่ง การสรุปนับว่ามีส่วนสำคัญเท่ากับคำนำ เพราะเป็นส่วนช่วยเสริมให้เรียงความมีคุณค่าขึ้น
การวางโครงเรื่องก่อนเขียน
เมื่อได้หัวข้อเรื่องแล้ว ต้องวางโครงเรื่องโดยคำนึงถึงการจัดการจัดลำดับหัวข้อเรื่องที่จะเขียนให้สัมพันธ์
ต่อเนื่องกัน เช่น
- จัดลำดับหัวข้อตามเวลาที่เกิด
- จัดลำดับหัวข้อจากหน่วยเล็กไปสู่หน่วยใหญ่
- จัดลำดับตามความนิยม
โครงเรื่องของงานเขียนควรจัดหมวดหมู่ของแนวคิดสำคัญเพื่อเป็นแนวทางในการเขียน
โครงเรื่องเปรียบเสมือนแปลนบ้านผู้สร้างบ้านจะต้องใช้แปลนบ้านเป็นแนวทางในการสร้างบ้าน
การเขียนโครงเรื่องจึงมีความสำคัญทำให้ผู้เขียนเรียงความเขียนได้ตรงตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้
ถ้าไม่เขียนโครงเรื่องหรือไม่วางโครงเรื่องเรียงความอาจจะออกมาไม่ตรงตามที่ผู้เขียนต้องการ
การเขียนย่อหน้า
การย่อหน้าเป็นสิ่งจำเป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะจะช่วยให้ผู้อ่านอ่านเข้าใจง่ายและอ่านได้เร็ว มีช่องว่างให้ได้พักสายตา ผู้เขียนเรียงความได้ดีต้องรู้หลักในการเขียนย่อหน้า และนำย่อหน้าแต่ละย่อหน้ามาเชื่อมโยงให้สัมพันธ์กัน ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ต้องมีสาระเพียงประการเดียว ถ้าจะขึ้นสาระสำคัญใหม่ให้เขียนในย่อหน้าต่อไป ดังนั้นการย่อหน้าจะมากหรือน้อย
ขึ้นอยู่กับสาระสำคัญที่ต้องการเขียนถึงในเนื้อเรื่อง แต่อย่างน้อยเรียงความต้องมี ๓ ย่อหน้า
คือย่อหน้าที่เป็นคำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป
การเชื่อมโยงย่อหน้า
การเชื่อมโยงย่อหน้าทำให้เกิดสัมพันธภาพระหว่างย่อหน้าเรียงความเรื่องหนึ่งย่อมประกอบด้วยย่อหน้าหลายย่อหน้าการเรียงลำดับย่อหน้าตามความเหมาะสมจะทำให้ข้อความเกี่ยวเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน
วิธีการเชื่อมโยงย่อหน้าแต่ละย่อหน้าก็เช่นเดียวกันกับการจัดระเบียบความคิดในการวางโครงเรื่องซึ่งมีด้วยกัน
๔ วิธีคือ
๑. การลำดับย่อหน้าตามเวลาอาจลำดับตามเวลาในปฏิทินหรือตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง
๒.
การลำดับย่อหน้าตามสถานที่เรียงลำดับข้อมูลตามสถานที่หรือตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
๓. การลำดับย่อหน้าตามความสำคัญ เรียงลำดับตามความสำคัญมากที่สุด สำคัญรองลงมาไปถึงสำคัญน้อยที่สุด
๔. การลำดับย่อหน้าตามเหตุผล อาจเรียงลำดับจากเหตุไปหาผลหรือผลไปเหตุ
ตัวอย่างรียงความ (แสดงให้เห็นคำนำ เนื้อเรื่อง และสรุปที่ชัดเจน)
เรียงความเรื่อง
"วันพ่อแห่งชาติ"
โดย นายวุฒิชัย เจาะโพ
ชายคนหนึ่งต้องทำงานหนัก
ชายคนหนึ่งต้องตื่นแต่เช้า ชายคนหนึ่งต้องหาเช้ากินค่ำชายคนหนึ่งต้องตากแดดตากฝน
ชายคนหนึ่งต้องอดมื้อกินมื้อ ชายคนหนึ่งกินข้าวไม่ค่อยอิ่ม
ชายคนหนึ่งต้องใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ ชายคนหนึ่งต้องทำไร่ทำนา
ชายคนหนึ่งที่เคยผ่านอะไรมามากมาย ชายคนหนึ่งโดนมีดบาดมือเป็นประจำ ชายคนหนึ่งสุขภาพร่างกายไม่ค่อยดี
ชายคนนั้นอายุมากแล้ว
ชายคนหนึ่งกำลังเฝ้ารอคอยการกลับมาของใครบางคน...ชายคนนั้นก็คือพ่อของผม
ผมเป็นลูกชาวนาจน
ๆ คนหนึ่งในช่วงหน้าฝนนั้นพ่อจะพาผมไปที่ไร่เพื่อดายหญ้า ถางหญ้า ล้อมรั้วรอบ ๆ
ไร่ เพื่อไม่ให้วัวควายเข้าไปในไร่ ให้วัวควายเข้าไปเฉพาะในนาเท่านั้น
พ่อของผมท่านไม่ค่อยได้พักผ่อน เพราะมีงานให้ทำอยู่มากมายพ่อมักจะโดนมีดบาดมืออยู่เสมอ
เพราะท่านเป็นคนที่ขยัน เร่งรีบ และใจร้อน พ่อของผมท่านต้องทำงานเกือบทุกย่างเพื่อทำหน้าที่ผู้นำครอบครัว
ผมมีพี่น้องอยู่หลายคน แต่ส่วนใหญ่แล้วแต่งงานกันหมดแล้วต้องสร้างครอบครัวของตนเอง
ทำให้ไม่ค่อยมีเวลามาดูแลพ่อกับแม่ ส่วนที่เหลือก็กำลังเรียนอยู่
พี่สาวของผมที่กำลังเรียนอยู่นั้นได้กลับบ้านเป็นประจำ
เพราะโรงเรียนอยู่ไม่ค่อยไกลผมเป็นลูกคนสุดท้องไม่ค่อยได้กลับบ้าน
เพราะโรงเรียนของผมนั้นอยู่ห่างไกลจากบ้าน ทำให้ไม่ค่อยได้อยู่ดูแลพ่อกับแม่ ซึ่งท่านทั้งสองนั้นมีอายุมากแล้วแต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมสามารถทำเพื่อท่านได้
นั่นก็คือ ตั้งใจเรียนสวดมนต์อธิษฐานภาวนาเพื่อท่านให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง
พ่อมักจะสอนผมอยู่เสมอว่าต้องตั้งใจเรียน เรียนให้สูง ๆ จะได้มีงานทำที่ดีไม่ต้องลำบากเหมือนกับท่าน
พ่อสอนสานตะกร้าด้วยไม้ไผ่ทำด้ามมีด ด้ามจอบ ด้ามเสียม ลับมีด เลื้อยไม้ ตอกตะปู
และอะไรต่าง ๆ ให้ผมมากมาย พอถึงหน้าฝนพ่อจะสอนให้ผมดำนาเป็น เกี่ยวข้าวเป็น
ตีข้าวเป็น ตำข้าวเป็น
ในตอนเด็ก
ๆ นั้น พ่อผมจะเล่านิทานให้ผมฟังก่อนนอนทุกครั้ง
ตอนนี้ผมยังจำนิทานทุกเรื่องที่พ่อเล่าให้ผมฟังได้อยู่ ตอนนี้พ่อของผมท่านอายุมากแล้วทำให้สุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง
พ่อมักจะปวดหลัง
ปวดหัวอยู่เสมอ ผมจึงนวดหลังให้พ่ออยู่เสมอเพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อย
เมื่อถึงเวลาเปิดเรียนแล้วนั้น ผมต้องเดินทางไปเรียนทุกครั้งที่ผมจะไปเรียนนั้น แม่ของผมท่านจะร้องไห้ทุกครั้งผมต้องปลอบใจแม่ทุกครั้ง
ก่อนเดินทางไปเรียนในช่วงเปิดเรียน ผมเป็นห่วงท่านทั้งสองและคิดถึงท่านทั้งสองเสมอ
เนื่องในโอกาสวันพ่อแห่งชาตินี้ผมขอให้พ่อมีสุขภาพร่างกายที่สมบรูณ์และอยากบอกพ่อว่า
"ผมรักพ่อ"
เอกสารอ้างอิง
ประนอม
วิบูลย์พันธ์ และคณะ. ๒๕๕๔. หลักภาษาและการใช้ภาษาไทย.
สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.).
กรุงเทพฯ.
การเขียนเรียงความ.
๒๕๕๖. (ออนไลน์). สืบคนจาก : http://th.wikipedia.org
[๒๕ธันวาคม ๒๕๕๖]
ใบความรู้ที่ ๒
เรื่องเทคนิคการเขียนเรียงความที่ดี
ลักษณะเรียงความที่ดี
๑. มีเอกภาพ หมายความว่า
เนื้อเรื่องจะต้องมีเนื้อหาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่กล่าวนอกเรื่อง เรียงความจะมีเอกภาพหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการว่างโครงเรื่อง
๒. มีสัมพันธภาพ หมายความว่า
เนื้อหาจะต้องมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันตลอดทั้งเรื่อง
ความสัมพันธ์ต่อเนื่องของเนื้อหาเกิดจากการจัดลำดับความคิด และการวางโครงเรื่องที่ดี และเกิดจากการเรียบเรียงย่อหน้าอย่างมีระเบียบ
๓. มีสารัตถภาพ หมายความว่า
เรียงความแต่ละเรื่องจะต้องมีสาระสมบูรณ์ตลอดทั้งเรื่อง
ความสมบูรณ์ของเนื้อหาเกิดจากการวางโครงเรื่องที่ดี
หลักการเขียนคำนำ
นักเรียนจะต้องเลือกวิธีการเขียนคำนำให้เหมาะสมกับประเภทของงานเขียนเนื้อหาที่เขียนรวมทั้งรับสารด้วย ปกติมักจะนิยมเขียนคำนำเพียงย่อหน้าเดียว การเขียนคำนำสามารถกระทำได้หลายวิธี
ลักษณะของคำนำที่ดี
-
ควรเขียนคำนำให้ตรงและสอดคล้องกับเรื่องที่เขียน
- ไม่ควรเขียนคำนำที่อ้อมค้อม มีเนื้อหาไกลจากเรื่องที่เขียน
อาจทำให้ผู้อ่านไม่ทราบจุดประสงค์ชัดเจนว่าจะเขียนเรื่องอะไร
- ไม่ควรเขียนคำนำที่ยาวเกินไป ไม่ได้สัดส่วนกับเนื้อเรื่อง
คำนำที่ดีควรมีเพียงย่อหน้าเดียวเท่านั้นอาจมีความยาวประมาณ ๕ บรรทัด (ยกเว้นมีคำประพันธ์ผสมอยู่ด้วย)
- ในการเขียนคำนำไม่ควรออกตัวว่าไม่พร้อม หรือไม่เชี่ยวชาญในเรื่องที่เขียนซึ่งอาจมีผลทำให้ผู้อ่านไม่สนใจอ่านก็ได้
- คำนำที่ดี
คือ คำนำที่บอกให้รู้ได้ทันทีว่าจะเขียนอะไร และต้องเขียนให้กระชับและเร้าความสนใจด้วย
ตัวอย่างการเขียนคำนำที่ดี
คำนำเริ่มด้วยการยกคำพูด คำคม
หรือสุภาษิตที่น่าสนใจ
“ใครทำให้ข้าเสียใจชั่วครู่ ข้าจะทำให้มันเสียใจไปตลอดชีวิต” เป็นคำกล่าวของพระนางซูสีไทเฮาผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยปลายราชวงศ์ชิง
ซึ่งมิใช่คำขู่หรือคำเล่าลือที่ไร้ความจริง
ความยำเกรงของผู้คนทั้งในราชสำนักทหารพลเรือนและประชาชนทั่วแผนดินที่มีต่อพระนางเป็นสิ่งยืนยันคำกล่าวข้างตนนี้เป็นอย่างดีและยังบอกให้รู้ถึงอำนาจอันล้นฟ้าของผู้อยู่เบื้องหลังราชบัลลังก์และองค์จักรพรรดิเป็นเวลานานถึง
๔๗ ปี”
(ดวงดาว ทิฆัมพร. “ซูสีไทเฮา
หญิงบ้านนอกผู้ตั้งตัวเป็นเจ้าชีวิต,”
มิติใหม่. ปีที่ ๑ ฉบับที่
๔, หน้า
๗๔)
คำนำที่เริ่มด้วยบทร้อยกรอง
“สงสารคำทำการนานแล้ว ดูไม่แคล้วตาไปในหนังสือ
มันถูกใช้หลายอย่างไม่วางมือ แต่ละมื้อตรำตรากยากเต็มที
ตำรวจเห็นโจรหาญทำการจับ โจรมันกลับวิ่งทะยานทำการหนี
ทำการป่วยเป็นลมล้มพอดี ทำการจี้จับหมายว่าตายเอย”
วันนี้เริ่มต้นด้วยคำกลอนให้เต็มที่เสียหน่อย เปล่า
ผู้เขียนไม่ได้เก่งกาจถึงกับแต่งขึ้นมาเองดอกแต่กลอนข้างบนนี้เป็นพระนิพนธ์ของ
น.ม.ส. ปรากฏในหนังสือประมวญวันเกือบ ๔๐
ปีมาแล้ว แสดงว่ามีคนรำคาญคำว่า ทำการ
กันมานานแสนนานแล้วถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังรำคาญอยู่ เพราะแม้แต่ในรายงการโทรทัศน์ยอดนิยม รายการหนึ่ง
คือ รายการภาษาไทยวันละคำ ก็ยังกล่าวไว้
(นิตยา กาญจนวรรณ, “เรื่องของ “ทำการ”,” ใน พูดจากภาษาไทย,
หน้า ๑๕๙)
คำนำที่โน้มน้าวและชักจูงให้ผู้อ่านเห็นคล้อยตาม
กินมากแล้วก็ต้องอ้วนเป็นเรื่องธรรมดาที่รู้
ๆ กันอยู่
แต่คนสมัยนี้ไม่อยากอ้วนเพราะอ้วนแล้วสร้างปัญหาให้มากมาย ทั้งโรคหัวใจ
โรคเบาหวาน โรคเกาต์ และโรคความดันโลหิตสูง บางครั้งก็มีปัญหาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คนส่วนใหญ่จึงอยากจะผอม แต่ถ้าต้องการผอมก็หยุดกิน
เรื่องที่จะทำให้คนอ้วนหยุดกินเป็นการแนะนำง่าย แต่ปฏิบัติตามได้ยาก การสอนคนอ้วนให้กินอย่างถูกวิธี จึงน่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่า
(วินัย ดะส์ลัน, “กินให้ผอม.” เนชั่นสุดสัปดาห์, ปีที่ ๔ แบบฉบับที่ ๑๙๖, (๘-๑๔ มีนาคม ๒๕๓๙)
คำนำที่กล่าวถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะเขียนเพื่อนำเข้าสู่เรื่อง
ในบรรดาสิ่งก่อสร้างทางสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุด ได้แก่
สถูปเจดีย์และสถูปเจดีย์ที่มีทั้งความเก่าแก่และใหญ่ที่สุดในเมืองไทยแห่งหนึ่ง
คือ พระปฐมเจดีย์
(วิบูลย์ ลี้สุวรรณ, “พระปฐมเจดีย์” ใน ๕ นาทีกับศิลปะไทย, หน้า ๒๓๓.)
คำนำที่เริ่มด้วยคำถามหรือข้อความน่าประหลาดใจ
ในนิทานคำกลอนเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่มีข้อความบางตอนอ้างถึงของวิเศษอย่างหนึ่งเรียกว่าตราราหูมีลักษณะประหลาดโดยรูปลักษณ์และคุณสมบัติทำให้เกิดความทึ่งแก่ผู้อ่านว่า สิ่งนี้คืออะไรแน่
และสุนทรภู่ไปได้ความคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้มาจากไหน เรื่องตราราหูเป็นอย่างไรน่าจะพิจารณาดู
(ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา.
“ตราราหูในพระอภัยมณี.” ใน วรรณวิทยา. หน้า ๙๑)
วิธีการเขียนสรุป
การสรุปควรมีเนื้อหาสอดคล้องกับคำนำและประเด็นของเรื่อง ย่อหน้าสรุปไม่ควรยาว (ประมาณ ๕-๗ บรรทัด อาจมีคำประพันธ์ประสมอยู่ด้วย) แต่ให้มีใจความกระชับประทับใจผู้อ่าน วิธีการสรุปมีหลายวิธี นักเรียนอาจนำวิธีการเขียนคำนำบางวิธีมาใช้ในการสรุปได้ เช่น
การสรุปด้วยคำถาม
การสรุปด้วยคำคม สุภาษิต
และบทร้อยกรองหรือสรุปด้วยข้อความที่ให้แง่คิด เป็นต้น
ตัวอย่างการเขียนสรุปความที่ดี
การสรุปด้วยการฝากข้อคิดและความประทับใจให้แก่ผู้อ่าน
ดังนั้นถ้าเราอยากให้น้ำใจเกิดขึ้นในสังคมของเรา ต้องลงมือปฏิบัติด้วยตนเองกันทุกคน
อย่ามัวเรียกร้องให้คนอื่นมีน้ำใจเพราะถ้าเราไม่มีน้ำใจ การเรียกร้องให้ผู้อื่นมีน้ำใจต่อเราจะกลายเป็นความเห็นแก่ตัว
และถ้าเรามีน้ำใจแล้วก็ไม่ต้องเรียกร้องให้ใครมีน้ำใจ น้ำใจของเราต่างหากที่จะเพาะความมีน้ำใจให้เกิดขึ้นแก่ผู้อื่นโดยไม่ต้องเรียกร้อง
(ปรีชา ช้างขวัญยืน.“คอลัมน์ปากกาขนนก เรื่องน้ำใจ,สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์.ปีที่
๔๑ ฉบับที่ ๒๗,หน้า ๕๘.)
การเขียนสรุปด้วยข้อคำคม สุภาษิต
และบทร้อยกรอง
ขณะนี้วิชชาอันเนื่องมากจากลัทธิบริโภคนิยมได้เข้าไปสั่นคลอนจรรยาบรรณในทุกวิชาชีพ
ทำให้ผู้คนมักมากและมีวิธีการสร้างความยอมรับแปลก ๆ
ไม่ได้เว้นแม้แต่นักวิชาการและครูบาอาจารย์ โชคยังดีอยู่บ้างที่ยังเหลือ
ผู้เข้มแข็งออกมาแสดงบทบาทให้ในระดับสาธารณะอยู่บ้างประปราย เป็นกระแสธารน้อยที่ไหลแรงมิพักจะหยุดไหลมีบทบาทสมดังคำยกย่องของกวีของชาติ เนาวรัตน์
พงษ์ไพบูลย์ ที่ว่า
ครูคือผู้ชี้นำทางความคิด ให้รู้ถูกรู้ผิดคิดอ่านเขียน
ให้รู้ทุกข์ยากรู้พากเพียร ให้รู้เปลี่ยนแปลงสู้รู้สร้างงาน
ครูคือผู้ยกระดับวิญญาณมนุษย์ ให้สูงสุดกว่าสัตว์เดรัจฉาน
ครูคือผู้สั่งสมอุดมการณ์ ปณิธานเพื่อมวลชนใช่ตนเอง
(กมลสมัย วิชิระไชยโสภณ. นักวิชาการกับสังคม,
“ก้าวไกล”. ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๑๒,หน้า ๒๓)
การเขียนสรุปด้วยคำถามให้ผู้อ่านเก็บไปคิดหรือไตร่ตรองต่อไป
ภาษาไทยปัจจุบันนี้กำลังเสื่อมมาก ถึงเวลาหรือยังที่เราจะคิดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจังน่าจะกำหนดไว้ในนโยบายของรัฐบาลได้แล้วว่ารัฐบาลจะสนับสนุนการค้นคว้าศึกษาเรื่องภาษาไทยเพื่อเป็นการให้ภาษาไทยมีความเจริญมั่นคงสมกับที่ภาษาเป็นวัฒนธรรมสำคัญยิ่งของชาติ
(เปลือง ณ นคร. “ศาลฎีกาแห่งภาษา”. สารสถาบันภาษาไทย. ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓, หน้า
๒๔.)
การเขียนสรุปด้วยการชักชวนให้ปฏิบัติตาม
ที่กล่าวมานั้นเป็นวิธีการโกงการเลือกตั้งอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งควรใช้วิจารณญาณของท่านตัดสินดูพฤติกรรมของผู้สมัครรับเลือกตั้งว่าเป็นเช่นไร หากพบเห็นความไม่ชอบมาพากล หรือพบการทุจริตอย่างเห็นได้ชัด อย่างคิดว่าธุระไม่ใช่
แต่ควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมเพื่อขจัดคนเลวให้พ้นจากวงจรประชาธิปไตยของเรา ขอให้เราเริ่มต้นกันตั้งแต่บัดนี้เพื่อประชาธิปไตยที่สดใสของเราในวันหน้า
(สำนักงานสารนิเทศ.
“การซื้อเสียง”, ใน ใจถึงใจ เล่ม ๒. หน้า ๕๑.)
การใช้โวหารในการเขียน
โวหาร
หมายถึง วิธีการเขียนเรียบเรียงข้อความให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง
โวหารที่ใช้ในการเขียนเรียงความ ได้แก่ พรรณนาโวหาร บรรยายโวหาร อุปมาโวหาร
เทศนาโวหาร สาธกโวหารและอธิบายโวหาร
๑.
บรรยายโวหารหมายถึง
การเขียนอธิบายหรือบรรยายเหตุการณ์ที่เป็นข้อเท็จจริงตามลำดับเหตุการณ์
เป็นการเขียนตรงไปตรงมา ไม่เยิ่นเย้อ มุ่งความชัดเจนเพื่อให้ผู้อ่านได้รับความรู้
ความเข้าใจ เช่น การเขียนเล่าเรื่อง เล่าเหตุการณ์ การเขียนรายงาน
เขียนตำราและเขียนบทความ
“ช้างยกขาหน้าให้ควาญเหยียบขึ้นนั่งบนคอตัวมันสูงใหญ่ใบหูไหวพะเยิบ
หญิงบนเรือนลงบันไดมาข้างล่าง เธอชูแขนยื่นผ้าขาวม้าและข้าวห่อใบตองขึ้นมาให้เขา”
๒. พรรณนาโวหารหมายถึง
การเรียบเรียงข้อความโดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับบุคคล สิ่งของ ธรรมชาติ สภาพแวดล้อม
ตลอดจนความรู้สึกต่างๆของผู้เขียน โดยเน้นให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ความรู้สึกร่วมกับผู้เขียน
“ สมใจเป็นสาวงามที่มีลำแขนขาวผ่องทั้งกลมเรียวและอ่อนหยัดผิวขาวละเอียดเช่นเดียวกับแขน
ประกอบด้วยหลังมืออวบนูน นิ้วเล็กเรียว หลังเล็บมีสีดังกลีบดอกบัวแรกแย้ม”
๓. เทศนาโวหารหมายถึง
การเขียนอธิบาย ชี้แจงให้ผู้อ่านเข้าใจ ชี้ให้เห็นประโยชน์หรือโทษของเรื่องที่กล่าวถึง
เป็นการชักจูงให้ผู้อื่นคล้อยตาม
เห็นด้วยหรือเพื่อแนะนำสั่งสอนปลุกใจหรือเพื่อให้ข้อคิดคติเตือนใจผู้อ่าน
“ การทำความดีนั้นเมื่อทำแล้วก็แล้วกัน อย่าได้นำมาคิดถึงบ่อย
ราวกับว่าการทำความดีนั้นช่างยิ่งใหญ่นัก ใครก็ทำไม่ได้เหมือนเรา
ถ้าคิดเช่นนั้นความดีนั้นก็จะเหลือเพียงครึ่งเดียวแต่ถ้าทำแล้วก็ไม่น่านำมาใส่อีก
คิดแต่จะทำอะไรต่อไปอีกจึงจะดี จึงจะเป็นความดีทีสมบูรณ์ ไม่ตกไม่หล่น”
๔. อุปมาโวหารหมายถึงการเขียนเป็นสำนวนเปรียบเทียบที่มีความคล้ายคลึงกัน
เพื่อทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น
โดยการเปรียบเทียบสิ่งของที่เหมือนกัน เปรียบเทียบโดยโยงความคิดไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง
หรือเปรียบเทียบข้อความตรงกันข้ามหรือข้อความที่ขัดแย้งกัน
“ อันว่าแก้วกระจกรวมอยู่กับสุวรรณย่อมได้แสงจับเป็นเลื่อมพรายคล้ายมรกต
ผู้ที่โง่เขลาแม้ได้อยู่ใกล้นักปราชญ์ ก็อาจเป็นคนเฉลียวฉลาดได้ฉันเดียวกัน”
๕. สาธกโวหารหมายถึง
การหยิบตัวอย่างมาอ้างอิงประกอบการอธิบายเพื่อสนับสนุนข้อความที่เขียนไว้ให้ผู้อ่านเข้าใจ
และเกิดความเชื่อถือ
“ อำนาจความสัตย์เป็นอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ ไม่เพียงแต่จับหัวใจคน แม้แต่สัตว์ก็ยังมีความรู้สึกในความสัตย์ซื่อ
เมื่อกวนอูตายแล้วม้าของกวนอูก็ไม่ยอมกินหญ้ากินน้ำและตายตามเจ้าของไปในไม่ช้า
ไม่ยอมให้หลังของมันสัมผัสกับผู้อื่นนอกจากนายของมัน”
หลักการใช้สำนวนภาษาในเรียงความ
๑. ใช้ภาษาให้ถูกหลัก
๒.ไม่ควรใช้ภาษาพูด
๓. ไม่ควรใช้ภาษาแสลง
๔.
ควรหลีกเลี่ยงการใช้คำศัพท์ยากที่ไม่จำเป็น
๕. ใช้คำให้ถูกต้องตามกาลเทศะและบุคคล
๖. ผูกประโยคให้กระชับ
สิ่งที่ควรคำนึงในการเขียนเรียงความ
๑. เนื้อความในย่อหน้าต้องเสนอความคิดที่เป็นประเด็นเดียวกัน
มีความเป็นเอกภาพ และแต่ละย่อหน้าต้องมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์
เรียบเรียงตามลำดับความคิดเป็นเรื่องเดียวกัน
๒. การเตรียมความรู้และความคิดในการเขียนเรียงความ
จำเป็นต้องเลือกเขียนเรียงความในเรื่องที่ตนเองมีความรู้และความสนใจ
รวมทั้งมีข้อมูลในการเขียนมากที่สุด
๓. การเลือกใช้ถ้อยคำ
ควรคำนึงถึงความเหมาะสมของเรื่องที่จะเขียน มีการใช้โวหารประกอบ
ใช้ภาษาระดับทางการ ส่วนภาษาพูด คำทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ
คำย่อไม่ควรนำมาใช้ในการเขียนเรียงความ
๔. กลไกในการเขียนเกี่ยวกับการเขียนตัวสะกดการันต์
การเว้นวรรคตอน การเรียบเรียงถ้อยคำ การใช้ภาษา การเลือกสรรคำที่เหมาะสมและถูกต้อง
สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้งานเขียนเรียงความมีความงดงามและน่าติดตามอ่านจนจบ
เมื่อนักเรียนได้ดำเนินการตามขั้นตอนในการเขียนเรียงความมาโดยลำดับ
นับตั้งแต่การเลือกเรื่องการเขียนโครงเรื่อง
การเรียบเรียงเนื้อเรื่องตามองค์ประกอบของเรียงความและการเขียนย่อหน้าที่ดีนักเรียนก็จะได้เรียงความเรื่องหนึ่ง
แต่เรียงความเรื่องนั้นยังนับว่าไม่สมบูรณ์ ถ้านักเรียนยังไม่ได้ทบทวนเพื่อแก้ไขปรับปรุง
การตรวจทานเป็นขั้นตอนการเขียนขั้นสุดท้ายที่จำเป็น ไม่ควรละเลยขั้นตอนนี้อย่างเด็ดขาด เพราะจะได้ตรวจทานว่าเรื่องนั้นมีภาษาและเนื้อหาครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่
เพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์อีกครั้งหนึ่งก่อนส่งครู
เทคนิคการฝึกฝนการเขียนเรียงความ
๑. เลือกเรื่องที่ตนเองสนใจ
๒. เริ่มต้นจากการเขียนเรื่องง่ายๆ
๓. การเขียนครั้งแรกอาจเขียนเป็นประโยคคร่าวๆ
ไว้ก่อน เพื่อเป็นการสร้างโครงเรื่อง
๔. ฝึกขยายข้อความจากประโยคหรือโครงเรื่องที่ตั้งไว้
๕.
ลงมือเขียนทันทีที่พบเห็นสิ่งใดหรือเมื่อเกิดความคิดขึ้น
ตัวอย่างรียงความที่ดี (ที่ได้รับรางวัลการประกวด)
เรียงความเรื่อง
"ทำไมเราจึงรัก พระเจ้าอยู่หัว"
โดย นางสาวมยุดา สมเพ็ชร
หนูเป็นเด็กต่างจังหวัดอยู่ปักษ์ใต้
ตั้งแต่จำความได้ในทีวีหนูก็เห็นรูปผู้ชายคนหนึ่งเดินนำหน้าแล้วมีผู้คนเดินตามหลังท่านมากมายไปหมด
พร้อมกันนั้นก็มีผู้คนนั่งกับพื้นต้อนรับท่านทุกที่ที่ท่านไป
ผู้ชายคนนั้นเป็นใครนะ จนโตหนูถึงได้รู้ว่า เขาคือผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินเกิดของหนูเอง
และหนูก็เห็นพระราชกรณียกิจของท่านเยอะแยะมากมายทางทีวี จนทำให้หนูปลาบปลื้มท่านมากยิ่งเป็นช่วงหน้าฝน
ฝนตกหนัก น้ำท่วมท่านก็เสด็จไปปักษ์ใต้เพื่อดูปัญหาความเดือดร้อน
และท่านก็โปรดให้สร้างเขื่อนคลองชลประทาน ส่วนช่วงหน้าแล้งท่านก็เสด็จไปภาคอีสาน
ไปดูความแห้งแล้งของคนอีสาน และท่านก็ทำฝนเทียมช่วยเหลือประชาชน
หนูได้แต่คิดตลอดเวลาว่า...
ทำไมผู้ชายคนนี้ต้องลำบากตัวเองขนาดนี้ ท่านเดินทางไปทุกที่ที่ทุรกันดารและสุดแสนจะลำบาก
ท่านทรงทำทุกอย่างเพื่อประชาชนทั้งประเทศ ท่านทรงเก่งมากสามารถรู้หมดว่าในพื้นที่เมืองไทยว่าตรงไหนเป็นภูมิประเทศลักษณะไหน
แอ่งน้ำ ภูเขา อย่างเช่น ใกล้บ้านหนูที่
อ.ปากพนัง ท่านก็ทำอ่างเก็บน้ำใหญ่โตมากเพื่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
และอำนวยประโยชน์ต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนในบริเวณ อ.ปากพนัง
ญาติพี่น้องหนูที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นได้ประกอบอาชีพทั้งการเกษตรและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้ทั้งปี
สำหรับตัวหนูแล้ว
หนูคิดและฝันไว้ว่าสักวันหนึ่งหนูจะต้องเห็นผู้ชายคนนี้ตัวจริง ๆ สักครั้งในชีวิต
แล้วหนูก็มีความพยายามมาก คือวันที่ 4 ธันวาคม 2549 ซึ่งก่อนวันเกิดท่าน 1 วัน เพราะวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันพ่อแห่งชาติหนูทราบข่าวว่าท่านจะเสด็จกลับจากวังไกลกังวล
เพื่อมาร่วมงานที่ทางรัฐบาลได้จัดขึ้น
หนูก็เลยมารอรับเสด็จท่านอยู่หน้าโรงเรียนสวนจิตรลดา ท่านเสด็จมาตอนเกือบ 1
ทุ่ม ท่านนั่งมากับพระราชินี พระราชินีท่านโบกมือให้หนู แต่พระเจ้าอยู่หัวนั่งนิ่งมากค่ะ
แต่หนูเห็นพระพักตร์ท่านชัดมาก หนูดีใจมาก และก่อนหน้านี้หนูก็ไปงานฉลองสิริราชสมบัติครบ
60 ปี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2549
ที่มีผู้คนเป็นแสน หนูก็เป็นหนึ่งในนั้นที่มีความพยายาม
หนูขอลาพักร้อนไป 1 วัน เพื่อไปเฝ้ารับเสด็จท่านที่ลานพระรูปทรงม้า
หนูตื่นตั้งแต่ ตี 4 ซื้อน้ำเปล่า 1 ขวด
กับ ขนมปัง 1 ถุง เพื่อไปรอรับเสด็จท่าน
ถึงขนาดที่รอนั้นหนูลำบากขนาดไหนห้องน้ำก็ไม่พอ ร้อนก็ร้อน แต่หนูทนได้ค่ะ
เพราะหนูคิดว่า...ท่านทรงเหนื่อยกว่าหนูมากมายนัก
และท่านก็เหนื่อยมาตลอดชีวิตของท่านเพื่อประชาชนของท่าน
และท่านก็ออกมาจากหน้าต่างมาโบกไม้โบกมือให้กับหนูและคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่
และทุกท่านก็โบกธงและพูดพร้อมกันว่า...
ขอให้ท่านทรงพระเจริญ
ทรงพระเจริญ พร้อม ๆ กันเสียงก้องดังมาก หนูคิดว่าสิ่งที่หนูเห็นและได้ยินนั้นคือ บารมีที่ท่านได้ทำไว้ทุกคนพร้อมใจกันเปล่งเสียงดังตะโกนโดยไม่มีใครมาบอกคนที่นั่งว่าต้องตะโกนแบบนี้นะ
แต่ทุกคนก็เปล่งเสียงดังออกมาพร้อมกัน หนูรู้สึกปลาบปลื้มใจมากจนขนลุกซู่
หนูคงบรรยายความรู้สึกที่มีต่อท่านได้ไม่หมดหน้ากระดาษแค่แผ่นเดียว
เพราะทุกกิจกรรมไม่ว่าที่เมืองทองที่ท้องสนามหลวง
หรือซุ้มที่ถนนราชดำเนินทั้งนอกและใน และกับคนเป็นหมื่น ๆ ค่ะ
ที่หนูไปต่อคิวเพื่อรอรับพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัว
วันนั้นหนูยืนต่อคิวและกลับถึงบ้าน
ตี 1 หนูก็ทำมาแล้ว เพื่อพระฉายาลักษณ์ของท่านเพียงรูปเดียว
และล่าสุดหนูได้ไปร่วมงานของสโมสรสันติบาลจัดขึ้น
เนื่องในวันฉัตรมงคลที่ลานพระรูปทรงม้า หนูไปมาเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 53 ไปนั่งดูพระกรณียกิจของท่าน
นั่งดูแล้วถึงกับน้ำตาซึมเลยทีเดียว เพราะท่านทรงเหน็ดเหนื่อยมากจริง ๆ ค่ะ แล้วหนูก็กลับมาคิดว่าตอนนี้ท่านไม่สบายอยู่ที่
รพ.ศิริราช อาจเป็นเพราะเมื่อตอนที่ท่านร่างกายแข็งแรงท่านทรงทำงานหนักมากโดยไม่ย่อท้อเลย
พอท่านอายุเพิ่มมากขึ้นทำให้ร่างกายของท่านทรุดโทรมมาก
สำหรับหนูแล้ว
หนูคิดว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ท่านเกิดมาพร้อมบารมีอันศักดิ์สิทธิ์
ท่านเหมือนพระพุทธเจ้า ซึ่งหนูคิดเองอยู่ตลอดเวลาสำหรับหนูแล้วกระดาษที่เป็นรูปท่าน
หรือปฏิทินหนูไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้นอกจากเก็บไว้
อีกอย่างหนึ่งที่หนูอยากจะกล่าวในบทความนี้
คือการใช้ชีวิตแต่พอเพียงอย่างที่ท่านให้ข้อคิดไว้ ทุกวันนี้ท่านสอนเกษตรกร
หากมีพื้นที่ทำกินอยู่แปลงหนึ่ง ต้องแบ่งทำมาหากินอย่างไรบ้าง ส่วนหนึ่งปลูกบ้าน
ส่วนหนึ่งเลี้ยงปลา อีกส่วนหนึ่งปลูกผัก หนูเองก็ใช้ชีวิตอย่างนั้น
หนูทำงานอยู่ที่นี่ถือว่าเงินเดือนหนูน้อยก็จริง แต่หนูก็ใช้ชีวิตไม่ฟุ่มเฟือย
แบ่งเงินเป็น 3 ส่วน ส่วนหนึ่งเก็บฝากแบงค์ประจำ
ส่วนหนึ่งเก็บไว้ใช้จ่ายภายใน 1 เดือน
อีกส่วนหนึ่งก็ซื้อของให้รางวัลตัวเองบ้าง หนูอยากให้ทุกคนทำอย่างนี้ค่ะ
จะได้สบายไม่มีหนี้สินกัน
สุดท้ายนี้
หนูคิดว่าเพื่อเป็นการตอบแทนท่าน หนูไม่ต้องคิดทำโครงการใหญ่โตอลังการหรอกค่ะ
แค่หนูเป็นคนดีในสังคม และไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นก็เพียงพอแล้วค่ะ
ท่านจะได้สบายใจ ไม่เครียด และจะได้ไม่มีผลต่อกระทบต่อร่างกายของท่าน
ท่านจะได้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง อยู่คู่บ้านคู่เมืองกับคนไทยทั้งประเทศตลอดไปยิ่งยืนนานค่ะ
เอกสารอ้างอิง
กัลยา สหชาติโกสีย์ และคณะ. ๒๕๕๑.
หลักภาษาไทย ม.๒ (ครูมือครู).
อักษรเจริญทัศน์ อจท. กรุงเทพฯ.
[๒๕ธันวาคม ๒๕๕๖]
ใบความรู้ที่ ๑
เรื่องความรู้เกี่ยวกับการเขียนเรียงความ
ความหมายของเรียงความ
เรียงความ เป็นงานเขียนชนิดหนึ่งที่ผู้เขียนมีจุดประสงค์จะถ่ายทอดความรู้ ความคิด
ทรรศนะ ความรู้สึก ความเข้าใจออกมาเป็นเรื่องราว
ด้วยถ้อยคำสำนวนที่เรียบเรียงอย่างชัดเจนและท่วงทำนองการเขียนที่น่าอ่าน
การเลือกเรื่องที่จะเขียนเรียงความ
หากจะต้องเป็นผู้เลือกเรื่องเอง
ควรเลือกตามความชอบหรือความถนัดของตนเอง
การค้นคว้าหาข้อมูลอาจทำได้โดยการค้นคว้าจากหนังสือ นิตยสาร วารสาร
อินเทอร์เน็ต หรือสื่ออื่น ๆ
ประเภทของเรื่องที่จะเขียนเรียงความ
๑.เรื่องที่เขียนเพื่อความรู้
๒.เรื่องที่เขียนเพื่อความเข้าใจ
๓.เรื่องที่เขียนเพื่อโน้มน้าวใจ
องค์ประกอบของเรียงความ
เรียงความมีองค์ประกอบ
๓ ส่วน คือ คำนำ
เนื้อเรื่อง และสรุป งานเขียนทุกประเภทจะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบสามส่วนนี้ ดังจะได้กล่าวถึงรายละเอียดขององค์ประกอบพร้อมกับกลวิธีการเขียนต่อไปนี้
๑.คำนำ
เป็นส่วนหนึ่งของเรียงความส่วนแรกที่มีหน้าที่เปิดประเด็นเข้าสู้เรื่อง เป็นการบอกให้ผู้อ่านทราบว่าผู้เขียนจะเขียนเรื่องอะไร เพื่อชักนำให้คนสนใจอ่านเนื้อเรื่องต่อไป คำนำเป็นส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่งของเรียงความเพราะเป็นส่วนช่วยดึงดูดให้ผู้อ่านหันมาสนใจเรื่องราวที่เขียน ผู้อ่านจะอ่านเรื่องต่อไปหรือไม่ ก็อยู่ที่คำนำนั้นเอง
๒.เนื้อเรื่อง หรือ เนื้อความ
เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของการเขียนเรียงความ เพราะเป็นส่วนที่เสนอความรู้ความคิดความเข้าใจทรรศนะหรือความรู้สึกของผู้เขียนให้แจ่มแจ้งโดยอาจจะยกอุทาหรณ์ สุภาษิต
และประสบการณ์ของผู้เขียนมาสนับสนุนเรื่องที่เขียนได้
นักเรียนจะต้องคิดก่อนเป็นขั้นแรกว่า จะเลือกเขียนเรื่องอะไร มีวัตถุประสงค์และมีขอบเขตในการเขียนกว้างหรือแคบเพียงใด เมื่อคิดวางแผนเป็นลำดับดังกล่าวแล้ว
ก็เริ่มเขียนโครงเรื่องเพื่อเป็นแนวทางในการเขียน
ขั้นตอนต่อไปคือการเรียงเนื้อหาไปตามโครงเรื่องที่ได้กำหนดไว้ โครงเรื่องที่กำหนดไว้เป็นข้อ ๆ
นั้นก็คือเนื้อหาในย่อหน้าหนึ่ง ๆ นั้นเอง
เมื่อจะขยายความแต่ละหัวข้อก็ย่อมจะได้ย่อหน้าที่มีเนื้อหาเป็นเอกภาพและมีน้ำหนัก
และถ้าเขียนแต่ละย่อหน้ามีประโยคใจความสำคัญ
และมีประโยคขยายความที่สนับสนุนประโยคใจความสำคัญอย่างชัดเจนแล้ว เรียงความเรื่องนั้นก็จะเป็นเรียงความที่มีเนื้อหาสมบูรณ์เรียงความแต่ละเรื่องจะมีย่อหน้าเรื่องเท่าใดก็ได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่เรียงความเรื่องหนึ่งจะมีย่อหน้าเนื้อเรื่องเพียงย่อหน้าเดียว
ในการเขียนเรียงความนั้น การใช้ถ้อยคำภาษาเป็นสิ่งสำคัญมาก นักเรียนจะต้องพิถีพิถันในการใช้ภาษา ภาษาที่ใช้ต้องเป็นภาษาแบบเป็นทางการ กล่าวคือภาษาจะถูกต้องตามหลักการเขียน มีการเลือกสรรถ้อยคำมาเรียบเรียงให้กะทัดรัด ชัดเจนอ่านเข้าใจง่าย ราบรื่น
สละสลวย
และมีลีลาการเขียนที่น่าสนใจ
๓.สรุป
เป็นส่วนสุดท้ายของเรียงความที่ผู้เขียนจะเน้นความรู้
ความคิดหลักหรือประเด็นสำคัญของเรื่องที่เขียนอีกครั้งหนึ่ง การสรุปนับว่ามีส่วนสำคัญเท่ากับคำนำ เพราะเป็นส่วนช่วยเสริมให้เรียงความมีคุณค่าขึ้น
การวางโครงเรื่องก่อนเขียน
เมื่อได้หัวข้อเรื่องแล้ว ต้องวางโครงเรื่องโดยคำนึงถึงการจัดการจัดลำดับหัวข้อเรื่องที่จะเขียนให้สัมพันธ์
ต่อเนื่องกัน เช่น
- จัดลำดับหัวข้อตามเวลาที่เกิด
- จัดลำดับหัวข้อจากหน่วยเล็กไปสู่หน่วยใหญ่
- จัดลำดับตามความนิยม
โครงเรื่องของงานเขียนควรจัดหมวดหมู่ของแนวคิดสำคัญเพื่อเป็นแนวทางในการเขียน
โครงเรื่องเปรียบเสมือนแปลนบ้านผู้สร้างบ้านจะต้องใช้แปลนบ้านเป็นแนวทางในการสร้างบ้าน
การเขียนโครงเรื่องจึงมีความสำคัญทำให้ผู้เขียนเรียงความเขียนได้ตรงตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้
ถ้าไม่เขียนโครงเรื่องหรือไม่วางโครงเรื่องเรียงความอาจจะออกมาไม่ตรงตามที่ผู้เขียนต้องการ
การเขียนย่อหน้า
การย่อหน้าเป็นสิ่งจำเป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะจะช่วยให้ผู้อ่านอ่านเข้าใจง่ายและอ่านได้เร็ว มีช่องว่างให้ได้พักสายตา ผู้เขียนเรียงความได้ดีต้องรู้หลักในการเขียนย่อหน้า และนำย่อหน้าแต่ละย่อหน้ามาเชื่อมโยงให้สัมพันธ์กัน ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ต้องมีสาระเพียงประการเดียว ถ้าจะขึ้นสาระสำคัญใหม่ให้เขียนในย่อหน้าต่อไป ดังนั้นการย่อหน้าจะมากหรือน้อย
ขึ้นอยู่กับสาระสำคัญที่ต้องการเขียนถึงในเนื้อเรื่อง แต่อย่างน้อยเรียงความต้องมี ๓ ย่อหน้า
คือย่อหน้าที่เป็นคำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป
การเชื่อมโยงย่อหน้า
การเชื่อมโยงย่อหน้าทำให้เกิดสัมพันธภาพระหว่างย่อหน้าเรียงความเรื่องหนึ่งย่อมประกอบด้วยย่อหน้าหลายย่อหน้าการเรียงลำดับย่อหน้าตามความเหมาะสมจะทำให้ข้อความเกี่ยวเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน
วิธีการเชื่อมโยงย่อหน้าแต่ละย่อหน้าก็เช่นเดียวกันกับการจัดระเบียบความคิดในการวางโครงเรื่องซึ่งมีด้วยกัน
๔ วิธีคือ
๑. การลำดับย่อหน้าตามเวลาอาจลำดับตามเวลาในปฏิทินหรือตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง
๒.
การลำดับย่อหน้าตามสถานที่เรียงลำดับข้อมูลตามสถานที่หรือตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
๓. การลำดับย่อหน้าตามความสำคัญ เรียงลำดับตามความสำคัญมากที่สุด สำคัญรองลงมาไปถึงสำคัญน้อยที่สุด
๔. การลำดับย่อหน้าตามเหตุผล อาจเรียงลำดับจากเหตุไปหาผลหรือผลไปเหตุ
ตัวอย่างรียงความ (แสดงให้เห็นคำนำ เนื้อเรื่อง และสรุปที่ชัดเจน)
เรียงความเรื่อง
"วันพ่อแห่งชาติ"
โดย นายวุฒิชัย เจาะโพ
ชายคนหนึ่งต้องทำงานหนัก
ชายคนหนึ่งต้องตื่นแต่เช้า ชายคนหนึ่งต้องหาเช้ากินค่ำชายคนหนึ่งต้องตากแดดตากฝน
ชายคนหนึ่งต้องอดมื้อกินมื้อ ชายคนหนึ่งกินข้าวไม่ค่อยอิ่ม
ชายคนหนึ่งต้องใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ ชายคนหนึ่งต้องทำไร่ทำนา
ชายคนหนึ่งที่เคยผ่านอะไรมามากมาย ชายคนหนึ่งโดนมีดบาดมือเป็นประจำ ชายคนหนึ่งสุขภาพร่างกายไม่ค่อยดี
ชายคนนั้นอายุมากแล้ว
ชายคนหนึ่งกำลังเฝ้ารอคอยการกลับมาของใครบางคน...ชายคนนั้นก็คือพ่อของผม
ผมเป็นลูกชาวนาจน
ๆ คนหนึ่งในช่วงหน้าฝนนั้นพ่อจะพาผมไปที่ไร่เพื่อดายหญ้า ถางหญ้า ล้อมรั้วรอบ ๆ
ไร่ เพื่อไม่ให้วัวควายเข้าไปในไร่ ให้วัวควายเข้าไปเฉพาะในนาเท่านั้น
พ่อของผมท่านไม่ค่อยได้พักผ่อน เพราะมีงานให้ทำอยู่มากมายพ่อมักจะโดนมีดบาดมืออยู่เสมอ
เพราะท่านเป็นคนที่ขยัน เร่งรีบ และใจร้อน พ่อของผมท่านต้องทำงานเกือบทุกย่างเพื่อทำหน้าที่ผู้นำครอบครัว
ผมมีพี่น้องอยู่หลายคน แต่ส่วนใหญ่แล้วแต่งงานกันหมดแล้วต้องสร้างครอบครัวของตนเอง
ทำให้ไม่ค่อยมีเวลามาดูแลพ่อกับแม่ ส่วนที่เหลือก็กำลังเรียนอยู่
พี่สาวของผมที่กำลังเรียนอยู่นั้นได้กลับบ้านเป็นประจำ
เพราะโรงเรียนอยู่ไม่ค่อยไกลผมเป็นลูกคนสุดท้องไม่ค่อยได้กลับบ้าน
เพราะโรงเรียนของผมนั้นอยู่ห่างไกลจากบ้าน ทำให้ไม่ค่อยได้อยู่ดูแลพ่อกับแม่ ซึ่งท่านทั้งสองนั้นมีอายุมากแล้วแต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมสามารถทำเพื่อท่านได้
นั่นก็คือ ตั้งใจเรียนสวดมนต์อธิษฐานภาวนาเพื่อท่านให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง
พ่อมักจะสอนผมอยู่เสมอว่าต้องตั้งใจเรียน เรียนให้สูง ๆ จะได้มีงานทำที่ดีไม่ต้องลำบากเหมือนกับท่าน
พ่อสอนสานตะกร้าด้วยไม้ไผ่ทำด้ามมีด ด้ามจอบ ด้ามเสียม ลับมีด เลื้อยไม้ ตอกตะปู
และอะไรต่าง ๆ ให้ผมมากมาย พอถึงหน้าฝนพ่อจะสอนให้ผมดำนาเป็น เกี่ยวข้าวเป็น
ตีข้าวเป็น ตำข้าวเป็น
ในตอนเด็ก
ๆ นั้น พ่อผมจะเล่านิทานให้ผมฟังก่อนนอนทุกครั้ง
ตอนนี้ผมยังจำนิทานทุกเรื่องที่พ่อเล่าให้ผมฟังได้อยู่ ตอนนี้พ่อของผมท่านอายุมากแล้วทำให้สุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง
พ่อมักจะปวดหลัง
ปวดหัวอยู่เสมอ ผมจึงนวดหลังให้พ่ออยู่เสมอเพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อย
เมื่อถึงเวลาเปิดเรียนแล้วนั้น ผมต้องเดินทางไปเรียนทุกครั้งที่ผมจะไปเรียนนั้น แม่ของผมท่านจะร้องไห้ทุกครั้งผมต้องปลอบใจแม่ทุกครั้ง
ก่อนเดินทางไปเรียนในช่วงเปิดเรียน ผมเป็นห่วงท่านทั้งสองและคิดถึงท่านทั้งสองเสมอ
เนื่องในโอกาสวันพ่อแห่งชาตินี้ผมขอให้พ่อมีสุขภาพร่างกายที่สมบรูณ์และอยากบอกพ่อว่า
"ผมรักพ่อ"
เอกสารอ้างอิง
ประนอม
วิบูลย์พันธ์ และคณะ. ๒๕๕๔. หลักภาษาและการใช้ภาษาไทย.
สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.).
กรุงเทพฯ.
การเขียนเรียงความ.
๒๕๕๖. (ออนไลน์). สืบคนจาก : http://th.wikipedia.org
[๒๕ธันวาคม ๒๕๕๖]
ใบความรู้ที่ ๒
เรื่องเทคนิคการเขียนเรียงความที่ดี
ลักษณะเรียงความที่ดี
๑. มีเอกภาพ หมายความว่า
เนื้อเรื่องจะต้องมีเนื้อหาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่กล่าวนอกเรื่อง เรียงความจะมีเอกภาพหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการว่างโครงเรื่อง
๒. มีสัมพันธภาพ หมายความว่า
เนื้อหาจะต้องมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันตลอดทั้งเรื่อง
ความสัมพันธ์ต่อเนื่องของเนื้อหาเกิดจากการจัดลำดับความคิด และการวางโครงเรื่องที่ดี และเกิดจากการเรียบเรียงย่อหน้าอย่างมีระเบียบ
๓. มีสารัตถภาพ หมายความว่า
เรียงความแต่ละเรื่องจะต้องมีสาระสมบูรณ์ตลอดทั้งเรื่อง
ความสมบูรณ์ของเนื้อหาเกิดจากการวางโครงเรื่องที่ดี
หลักการเขียนคำนำ
นักเรียนจะต้องเลือกวิธีการเขียนคำนำให้เหมาะสมกับประเภทของงานเขียนเนื้อหาที่เขียนรวมทั้งรับสารด้วย ปกติมักจะนิยมเขียนคำนำเพียงย่อหน้าเดียว การเขียนคำนำสามารถกระทำได้หลายวิธี
ลักษณะของคำนำที่ดี
-
ควรเขียนคำนำให้ตรงและสอดคล้องกับเรื่องที่เขียน
- ไม่ควรเขียนคำนำที่อ้อมค้อม มีเนื้อหาไกลจากเรื่องที่เขียน
อาจทำให้ผู้อ่านไม่ทราบจุดประสงค์ชัดเจนว่าจะเขียนเรื่องอะไร
- ไม่ควรเขียนคำนำที่ยาวเกินไป ไม่ได้สัดส่วนกับเนื้อเรื่อง
คำนำที่ดีควรมีเพียงย่อหน้าเดียวเท่านั้นอาจมีความยาวประมาณ ๕ บรรทัด (ยกเว้นมีคำประพันธ์ผสมอยู่ด้วย)
- ในการเขียนคำนำไม่ควรออกตัวว่าไม่พร้อม หรือไม่เชี่ยวชาญในเรื่องที่เขียนซึ่งอาจมีผลทำให้ผู้อ่านไม่สนใจอ่านก็ได้
- คำนำที่ดี
คือ คำนำที่บอกให้รู้ได้ทันทีว่าจะเขียนอะไร และต้องเขียนให้กระชับและเร้าความสนใจด้วย
ตัวอย่างการเขียนคำนำที่ดี
คำนำเริ่มด้วยการยกคำพูด คำคม
หรือสุภาษิตที่น่าสนใจ
“ใครทำให้ข้าเสียใจชั่วครู่ ข้าจะทำให้มันเสียใจไปตลอดชีวิต” เป็นคำกล่าวของพระนางซูสีไทเฮาผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยปลายราชวงศ์ชิง
ซึ่งมิใช่คำขู่หรือคำเล่าลือที่ไร้ความจริง
ความยำเกรงของผู้คนทั้งในราชสำนักทหารพลเรือนและประชาชนทั่วแผนดินที่มีต่อพระนางเป็นสิ่งยืนยันคำกล่าวข้างตนนี้เป็นอย่างดีและยังบอกให้รู้ถึงอำนาจอันล้นฟ้าของผู้อยู่เบื้องหลังราชบัลลังก์และองค์จักรพรรดิเป็นเวลานานถึง
๔๗ ปี”
(ดวงดาว ทิฆัมพร. “ซูสีไทเฮา
หญิงบ้านนอกผู้ตั้งตัวเป็นเจ้าชีวิต,”
มิติใหม่. ปีที่ ๑ ฉบับที่
๔, หน้า
๗๔)
คำนำที่เริ่มด้วยบทร้อยกรอง
“สงสารคำทำการนานแล้ว ดูไม่แคล้วตาไปในหนังสือ
มันถูกใช้หลายอย่างไม่วางมือ แต่ละมื้อตรำตรากยากเต็มที
ตำรวจเห็นโจรหาญทำการจับ โจรมันกลับวิ่งทะยานทำการหนี
ทำการป่วยเป็นลมล้มพอดี ทำการจี้จับหมายว่าตายเอย”
วันนี้เริ่มต้นด้วยคำกลอนให้เต็มที่เสียหน่อย เปล่า
ผู้เขียนไม่ได้เก่งกาจถึงกับแต่งขึ้นมาเองดอกแต่กลอนข้างบนนี้เป็นพระนิพนธ์ของ
น.ม.ส. ปรากฏในหนังสือประมวญวันเกือบ ๔๐
ปีมาแล้ว แสดงว่ามีคนรำคาญคำว่า ทำการ
กันมานานแสนนานแล้วถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังรำคาญอยู่ เพราะแม้แต่ในรายงการโทรทัศน์ยอดนิยม รายการหนึ่ง
คือ รายการภาษาไทยวันละคำ ก็ยังกล่าวไว้
(นิตยา กาญจนวรรณ, “เรื่องของ “ทำการ”,” ใน พูดจากภาษาไทย,
หน้า ๑๕๙)
คำนำที่โน้มน้าวและชักจูงให้ผู้อ่านเห็นคล้อยตาม
กินมากแล้วก็ต้องอ้วนเป็นเรื่องธรรมดาที่รู้
ๆ กันอยู่
แต่คนสมัยนี้ไม่อยากอ้วนเพราะอ้วนแล้วสร้างปัญหาให้มากมาย ทั้งโรคหัวใจ
โรคเบาหวาน โรคเกาต์ และโรคความดันโลหิตสูง บางครั้งก็มีปัญหาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คนส่วนใหญ่จึงอยากจะผอม แต่ถ้าต้องการผอมก็หยุดกิน
เรื่องที่จะทำให้คนอ้วนหยุดกินเป็นการแนะนำง่าย แต่ปฏิบัติตามได้ยาก การสอนคนอ้วนให้กินอย่างถูกวิธี จึงน่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่า
(วินัย ดะส์ลัน, “กินให้ผอม.” เนชั่นสุดสัปดาห์, ปีที่ ๔ แบบฉบับที่ ๑๙๖, (๘-๑๔ มีนาคม ๒๕๓๙)
คำนำที่กล่าวถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะเขียนเพื่อนำเข้าสู่เรื่อง
ในบรรดาสิ่งก่อสร้างทางสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุด ได้แก่
สถูปเจดีย์และสถูปเจดีย์ที่มีทั้งความเก่าแก่และใหญ่ที่สุดในเมืองไทยแห่งหนึ่ง
คือ พระปฐมเจดีย์
(วิบูลย์ ลี้สุวรรณ, “พระปฐมเจดีย์” ใน ๕ นาทีกับศิลปะไทย, หน้า ๒๓๓.)
คำนำที่เริ่มด้วยคำถามหรือข้อความน่าประหลาดใจ
ในนิทานคำกลอนเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่มีข้อความบางตอนอ้างถึงของวิเศษอย่างหนึ่งเรียกว่าตราราหูมีลักษณะประหลาดโดยรูปลักษณ์และคุณสมบัติทำให้เกิดความทึ่งแก่ผู้อ่านว่า สิ่งนี้คืออะไรแน่
และสุนทรภู่ไปได้ความคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้มาจากไหน เรื่องตราราหูเป็นอย่างไรน่าจะพิจารณาดู
(ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา.
“ตราราหูในพระอภัยมณี.” ใน วรรณวิทยา. หน้า ๙๑)
วิธีการเขียนสรุป
การสรุปควรมีเนื้อหาสอดคล้องกับคำนำและประเด็นของเรื่อง ย่อหน้าสรุปไม่ควรยาว (ประมาณ ๕-๗ บรรทัด อาจมีคำประพันธ์ประสมอยู่ด้วย) แต่ให้มีใจความกระชับประทับใจผู้อ่าน วิธีการสรุปมีหลายวิธี นักเรียนอาจนำวิธีการเขียนคำนำบางวิธีมาใช้ในการสรุปได้ เช่น
การสรุปด้วยคำถาม
การสรุปด้วยคำคม สุภาษิต
และบทร้อยกรองหรือสรุปด้วยข้อความที่ให้แง่คิด เป็นต้น
ตัวอย่างการเขียนสรุปความที่ดี
การสรุปด้วยการฝากข้อคิดและความประทับใจให้แก่ผู้อ่าน
ดังนั้นถ้าเราอยากให้น้ำใจเกิดขึ้นในสังคมของเรา ต้องลงมือปฏิบัติด้วยตนเองกันทุกคน
อย่ามัวเรียกร้องให้คนอื่นมีน้ำใจเพราะถ้าเราไม่มีน้ำใจ การเรียกร้องให้ผู้อื่นมีน้ำใจต่อเราจะกลายเป็นความเห็นแก่ตัว
และถ้าเรามีน้ำใจแล้วก็ไม่ต้องเรียกร้องให้ใครมีน้ำใจ น้ำใจของเราต่างหากที่จะเพาะความมีน้ำใจให้เกิดขึ้นแก่ผู้อื่นโดยไม่ต้องเรียกร้อง
(ปรีชา ช้างขวัญยืน.“คอลัมน์ปากกาขนนก เรื่องน้ำใจ,สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์.ปีที่
๔๑ ฉบับที่ ๒๗,หน้า ๕๘.)
การเขียนสรุปด้วยข้อคำคม สุภาษิต
และบทร้อยกรอง
ขณะนี้วิชชาอันเนื่องมากจากลัทธิบริโภคนิยมได้เข้าไปสั่นคลอนจรรยาบรรณในทุกวิชาชีพ
ทำให้ผู้คนมักมากและมีวิธีการสร้างความยอมรับแปลก ๆ
ไม่ได้เว้นแม้แต่นักวิชาการและครูบาอาจารย์ โชคยังดีอยู่บ้างที่ยังเหลือ
ผู้เข้มแข็งออกมาแสดงบทบาทให้ในระดับสาธารณะอยู่บ้างประปราย เป็นกระแสธารน้อยที่ไหลแรงมิพักจะหยุดไหลมีบทบาทสมดังคำยกย่องของกวีของชาติ เนาวรัตน์
พงษ์ไพบูลย์ ที่ว่า
ครูคือผู้ชี้นำทางความคิด ให้รู้ถูกรู้ผิดคิดอ่านเขียน
ให้รู้ทุกข์ยากรู้พากเพียร ให้รู้เปลี่ยนแปลงสู้รู้สร้างงาน
ครูคือผู้ยกระดับวิญญาณมนุษย์ ให้สูงสุดกว่าสัตว์เดรัจฉาน
ครูคือผู้สั่งสมอุดมการณ์ ปณิธานเพื่อมวลชนใช่ตนเอง
(กมลสมัย วิชิระไชยโสภณ. นักวิชาการกับสังคม,
“ก้าวไกล”. ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๑๒,หน้า ๒๓)
การเขียนสรุปด้วยคำถามให้ผู้อ่านเก็บไปคิดหรือไตร่ตรองต่อไป
ภาษาไทยปัจจุบันนี้กำลังเสื่อมมาก ถึงเวลาหรือยังที่เราจะคิดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจังน่าจะกำหนดไว้ในนโยบายของรัฐบาลได้แล้วว่ารัฐบาลจะสนับสนุนการค้นคว้าศึกษาเรื่องภาษาไทยเพื่อเป็นการให้ภาษาไทยมีความเจริญมั่นคงสมกับที่ภาษาเป็นวัฒนธรรมสำคัญยิ่งของชาติ
(เปลือง ณ นคร. “ศาลฎีกาแห่งภาษา”. สารสถาบันภาษาไทย. ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓, หน้า
๒๔.)
การเขียนสรุปด้วยการชักชวนให้ปฏิบัติตาม
ที่กล่าวมานั้นเป็นวิธีการโกงการเลือกตั้งอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งควรใช้วิจารณญาณของท่านตัดสินดูพฤติกรรมของผู้สมัครรับเลือกตั้งว่าเป็นเช่นไร หากพบเห็นความไม่ชอบมาพากล หรือพบการทุจริตอย่างเห็นได้ชัด อย่างคิดว่าธุระไม่ใช่
แต่ควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมเพื่อขจัดคนเลวให้พ้นจากวงจรประชาธิปไตยของเรา ขอให้เราเริ่มต้นกันตั้งแต่บัดนี้เพื่อประชาธิปไตยที่สดใสของเราในวันหน้า
(สำนักงานสารนิเทศ.
“การซื้อเสียง”, ใน ใจถึงใจ เล่ม ๒. หน้า ๕๑.)
การใช้โวหารในการเขียน
โวหาร
หมายถึง วิธีการเขียนเรียบเรียงข้อความให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง
โวหารที่ใช้ในการเขียนเรียงความ ได้แก่ พรรณนาโวหาร บรรยายโวหาร อุปมาโวหาร
เทศนาโวหาร สาธกโวหารและอธิบายโวหาร
๑.
บรรยายโวหารหมายถึง
การเขียนอธิบายหรือบรรยายเหตุการณ์ที่เป็นข้อเท็จจริงตามลำดับเหตุการณ์
เป็นการเขียนตรงไปตรงมา ไม่เยิ่นเย้อ มุ่งความชัดเจนเพื่อให้ผู้อ่านได้รับความรู้
ความเข้าใจ เช่น การเขียนเล่าเรื่อง เล่าเหตุการณ์ การเขียนรายงาน
เขียนตำราและเขียนบทความ
“ช้างยกขาหน้าให้ควาญเหยียบขึ้นนั่งบนคอตัวมันสูงใหญ่ใบหูไหวพะเยิบ
หญิงบนเรือนลงบันไดมาข้างล่าง เธอชูแขนยื่นผ้าขาวม้าและข้าวห่อใบตองขึ้นมาให้เขา”
๒. พรรณนาโวหารหมายถึง
การเรียบเรียงข้อความโดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับบุคคล สิ่งของ ธรรมชาติ สภาพแวดล้อม
ตลอดจนความรู้สึกต่างๆของผู้เขียน โดยเน้นให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ความรู้สึกร่วมกับผู้เขียน
“ สมใจเป็นสาวงามที่มีลำแขนขาวผ่องทั้งกลมเรียวและอ่อนหยัดผิวขาวละเอียดเช่นเดียวกับแขน
ประกอบด้วยหลังมืออวบนูน นิ้วเล็กเรียว หลังเล็บมีสีดังกลีบดอกบัวแรกแย้ม”
๓. เทศนาโวหารหมายถึง
การเขียนอธิบาย ชี้แจงให้ผู้อ่านเข้าใจ ชี้ให้เห็นประโยชน์หรือโทษของเรื่องที่กล่าวถึง
เป็นการชักจูงให้ผู้อื่นคล้อยตาม
เห็นด้วยหรือเพื่อแนะนำสั่งสอนปลุกใจหรือเพื่อให้ข้อคิดคติเตือนใจผู้อ่าน
“ การทำความดีนั้นเมื่อทำแล้วก็แล้วกัน อย่าได้นำมาคิดถึงบ่อย
ราวกับว่าการทำความดีนั้นช่างยิ่งใหญ่นัก ใครก็ทำไม่ได้เหมือนเรา
ถ้าคิดเช่นนั้นความดีนั้นก็จะเหลือเพียงครึ่งเดียวแต่ถ้าทำแล้วก็ไม่น่านำมาใส่อีก
คิดแต่จะทำอะไรต่อไปอีกจึงจะดี จึงจะเป็นความดีทีสมบูรณ์ ไม่ตกไม่หล่น”
๔. อุปมาโวหารหมายถึงการเขียนเป็นสำนวนเปรียบเทียบที่มีความคล้ายคลึงกัน
เพื่อทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น
โดยการเปรียบเทียบสิ่งของที่เหมือนกัน เปรียบเทียบโดยโยงความคิดไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง
หรือเปรียบเทียบข้อความตรงกันข้ามหรือข้อความที่ขัดแย้งกัน
“ อันว่าแก้วกระจกรวมอยู่กับสุวรรณย่อมได้แสงจับเป็นเลื่อมพรายคล้ายมรกต
ผู้ที่โง่เขลาแม้ได้อยู่ใกล้นักปราชญ์ ก็อาจเป็นคนเฉลียวฉลาดได้ฉันเดียวกัน”
๕. สาธกโวหารหมายถึง
การหยิบตัวอย่างมาอ้างอิงประกอบการอธิบายเพื่อสนับสนุนข้อความที่เขียนไว้ให้ผู้อ่านเข้าใจ
และเกิดความเชื่อถือ
“ อำนาจความสัตย์เป็นอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ ไม่เพียงแต่จับหัวใจคน แม้แต่สัตว์ก็ยังมีความรู้สึกในความสัตย์ซื่อ
เมื่อกวนอูตายแล้วม้าของกวนอูก็ไม่ยอมกินหญ้ากินน้ำและตายตามเจ้าของไปในไม่ช้า
ไม่ยอมให้หลังของมันสัมผัสกับผู้อื่นนอกจากนายของมัน”
หลักการใช้สำนวนภาษาในเรียงความ
๑. ใช้ภาษาให้ถูกหลัก
๒.ไม่ควรใช้ภาษาพูด
๓. ไม่ควรใช้ภาษาแสลง
๔.
ควรหลีกเลี่ยงการใช้คำศัพท์ยากที่ไม่จำเป็น
๕. ใช้คำให้ถูกต้องตามกาลเทศะและบุคคล
๖. ผูกประโยคให้กระชับ
สิ่งที่ควรคำนึงในการเขียนเรียงความ
๑. เนื้อความในย่อหน้าต้องเสนอความคิดที่เป็นประเด็นเดียวกัน
มีความเป็นเอกภาพ และแต่ละย่อหน้าต้องมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์
เรียบเรียงตามลำดับความคิดเป็นเรื่องเดียวกัน
๒. การเตรียมความรู้และความคิดในการเขียนเรียงความ
จำเป็นต้องเลือกเขียนเรียงความในเรื่องที่ตนเองมีความรู้และความสนใจ
รวมทั้งมีข้อมูลในการเขียนมากที่สุด
๓. การเลือกใช้ถ้อยคำ
ควรคำนึงถึงความเหมาะสมของเรื่องที่จะเขียน มีการใช้โวหารประกอบ
ใช้ภาษาระดับทางการ ส่วนภาษาพูด คำทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ
คำย่อไม่ควรนำมาใช้ในการเขียนเรียงความ
๔. กลไกในการเขียนเกี่ยวกับการเขียนตัวสะกดการันต์
การเว้นวรรคตอน การเรียบเรียงถ้อยคำ การใช้ภาษา การเลือกสรรคำที่เหมาะสมและถูกต้อง
สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้งานเขียนเรียงความมีความงดงามและน่าติดตามอ่านจนจบ
เมื่อนักเรียนได้ดำเนินการตามขั้นตอนในการเขียนเรียงความมาโดยลำดับ
นับตั้งแต่การเลือกเรื่องการเขียนโครงเรื่อง
การเรียบเรียงเนื้อเรื่องตามองค์ประกอบของเรียงความและการเขียนย่อหน้าที่ดีนักเรียนก็จะได้เรียงความเรื่องหนึ่ง
แต่เรียงความเรื่องนั้นยังนับว่าไม่สมบูรณ์ ถ้านักเรียนยังไม่ได้ทบทวนเพื่อแก้ไขปรับปรุง
การตรวจทานเป็นขั้นตอนการเขียนขั้นสุดท้ายที่จำเป็น ไม่ควรละเลยขั้นตอนนี้อย่างเด็ดขาด เพราะจะได้ตรวจทานว่าเรื่องนั้นมีภาษาและเนื้อหาครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่
เพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์อีกครั้งหนึ่งก่อนส่งครู
เทคนิคการฝึกฝนการเขียนเรียงความ
๑. เลือกเรื่องที่ตนเองสนใจ
๒. เริ่มต้นจากการเขียนเรื่องง่ายๆ
๓. การเขียนครั้งแรกอาจเขียนเป็นประโยคคร่าวๆ
ไว้ก่อน เพื่อเป็นการสร้างโครงเรื่อง
๔. ฝึกขยายข้อความจากประโยคหรือโครงเรื่องที่ตั้งไว้
๕.
ลงมือเขียนทันทีที่พบเห็นสิ่งใดหรือเมื่อเกิดความคิดขึ้น
ตัวอย่างรียงความที่ดี (ที่ได้รับรางวัลการประกวด)
เรียงความเรื่อง
"ทำไมเราจึงรัก พระเจ้าอยู่หัว"
โดย นางสาวมยุดา สมเพ็ชร
หนูเป็นเด็กต่างจังหวัดอยู่ปักษ์ใต้
ตั้งแต่จำความได้ในทีวีหนูก็เห็นรูปผู้ชายคนหนึ่งเดินนำหน้าแล้วมีผู้คนเดินตามหลังท่านมากมายไปหมด
พร้อมกันนั้นก็มีผู้คนนั่งกับพื้นต้อนรับท่านทุกที่ที่ท่านไป
ผู้ชายคนนั้นเป็นใครนะ จนโตหนูถึงได้รู้ว่า เขาคือผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินเกิดของหนูเอง
และหนูก็เห็นพระราชกรณียกิจของท่านเยอะแยะมากมายทางทีวี จนทำให้หนูปลาบปลื้มท่านมากยิ่งเป็นช่วงหน้าฝน
ฝนตกหนัก น้ำท่วมท่านก็เสด็จไปปักษ์ใต้เพื่อดูปัญหาความเดือดร้อน
และท่านก็โปรดให้สร้างเขื่อนคลองชลประทาน ส่วนช่วงหน้าแล้งท่านก็เสด็จไปภาคอีสาน
ไปดูความแห้งแล้งของคนอีสาน และท่านก็ทำฝนเทียมช่วยเหลือประชาชน
หนูได้แต่คิดตลอดเวลาว่า...
ทำไมผู้ชายคนนี้ต้องลำบากตัวเองขนาดนี้ ท่านเดินทางไปทุกที่ที่ทุรกันดารและสุดแสนจะลำบาก
ท่านทรงทำทุกอย่างเพื่อประชาชนทั้งประเทศ ท่านทรงเก่งมากสามารถรู้หมดว่าในพื้นที่เมืองไทยว่าตรงไหนเป็นภูมิประเทศลักษณะไหน
แอ่งน้ำ ภูเขา อย่างเช่น ใกล้บ้านหนูที่
อ.ปากพนัง ท่านก็ทำอ่างเก็บน้ำใหญ่โตมากเพื่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
และอำนวยประโยชน์ต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนในบริเวณ อ.ปากพนัง
ญาติพี่น้องหนูที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นได้ประกอบอาชีพทั้งการเกษตรและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้ทั้งปี
สำหรับตัวหนูแล้ว
หนูคิดและฝันไว้ว่าสักวันหนึ่งหนูจะต้องเห็นผู้ชายคนนี้ตัวจริง ๆ สักครั้งในชีวิต
แล้วหนูก็มีความพยายามมาก คือวันที่ 4 ธันวาคม 2549 ซึ่งก่อนวันเกิดท่าน 1 วัน เพราะวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันพ่อแห่งชาติหนูทราบข่าวว่าท่านจะเสด็จกลับจากวังไกลกังวล
เพื่อมาร่วมงานที่ทางรัฐบาลได้จัดขึ้น
หนูก็เลยมารอรับเสด็จท่านอยู่หน้าโรงเรียนสวนจิตรลดา ท่านเสด็จมาตอนเกือบ 1
ทุ่ม ท่านนั่งมากับพระราชินี พระราชินีท่านโบกมือให้หนู แต่พระเจ้าอยู่หัวนั่งนิ่งมากค่ะ
แต่หนูเห็นพระพักตร์ท่านชัดมาก หนูดีใจมาก และก่อนหน้านี้หนูก็ไปงานฉลองสิริราชสมบัติครบ
60 ปี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2549
ที่มีผู้คนเป็นแสน หนูก็เป็นหนึ่งในนั้นที่มีความพยายาม
หนูขอลาพักร้อนไป 1 วัน เพื่อไปเฝ้ารับเสด็จท่านที่ลานพระรูปทรงม้า
หนูตื่นตั้งแต่ ตี 4 ซื้อน้ำเปล่า 1 ขวด
กับ ขนมปัง 1 ถุง เพื่อไปรอรับเสด็จท่าน
ถึงขนาดที่รอนั้นหนูลำบากขนาดไหนห้องน้ำก็ไม่พอ ร้อนก็ร้อน แต่หนูทนได้ค่ะ
เพราะหนูคิดว่า...ท่านทรงเหนื่อยกว่าหนูมากมายนัก
และท่านก็เหนื่อยมาตลอดชีวิตของท่านเพื่อประชาชนของท่าน
และท่านก็ออกมาจากหน้าต่างมาโบกไม้โบกมือให้กับหนูและคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่
และทุกท่านก็โบกธงและพูดพร้อมกันว่า...
ขอให้ท่านทรงพระเจริญ
ทรงพระเจริญ พร้อม ๆ กันเสียงก้องดังมาก หนูคิดว่าสิ่งที่หนูเห็นและได้ยินนั้นคือ บารมีที่ท่านได้ทำไว้ทุกคนพร้อมใจกันเปล่งเสียงดังตะโกนโดยไม่มีใครมาบอกคนที่นั่งว่าต้องตะโกนแบบนี้นะ
แต่ทุกคนก็เปล่งเสียงดังออกมาพร้อมกัน หนูรู้สึกปลาบปลื้มใจมากจนขนลุกซู่
หนูคงบรรยายความรู้สึกที่มีต่อท่านได้ไม่หมดหน้ากระดาษแค่แผ่นเดียว
เพราะทุกกิจกรรมไม่ว่าที่เมืองทองที่ท้องสนามหลวง
หรือซุ้มที่ถนนราชดำเนินทั้งนอกและใน และกับคนเป็นหมื่น ๆ ค่ะ
ที่หนูไปต่อคิวเพื่อรอรับพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัว
วันนั้นหนูยืนต่อคิวและกลับถึงบ้าน
ตี 1 หนูก็ทำมาแล้ว เพื่อพระฉายาลักษณ์ของท่านเพียงรูปเดียว
และล่าสุดหนูได้ไปร่วมงานของสโมสรสันติบาลจัดขึ้น
เนื่องในวันฉัตรมงคลที่ลานพระรูปทรงม้า หนูไปมาเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 53 ไปนั่งดูพระกรณียกิจของท่าน
นั่งดูแล้วถึงกับน้ำตาซึมเลยทีเดียว เพราะท่านทรงเหน็ดเหนื่อยมากจริง ๆ ค่ะ แล้วหนูก็กลับมาคิดว่าตอนนี้ท่านไม่สบายอยู่ที่
รพ.ศิริราช อาจเป็นเพราะเมื่อตอนที่ท่านร่างกายแข็งแรงท่านทรงทำงานหนักมากโดยไม่ย่อท้อเลย
พอท่านอายุเพิ่มมากขึ้นทำให้ร่างกายของท่านทรุดโทรมมาก
สำหรับหนูแล้ว
หนูคิดว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ท่านเกิดมาพร้อมบารมีอันศักดิ์สิทธิ์
ท่านเหมือนพระพุทธเจ้า ซึ่งหนูคิดเองอยู่ตลอดเวลาสำหรับหนูแล้วกระดาษที่เป็นรูปท่าน
หรือปฏิทินหนูไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้นอกจากเก็บไว้
อีกอย่างหนึ่งที่หนูอยากจะกล่าวในบทความนี้
คือการใช้ชีวิตแต่พอเพียงอย่างที่ท่านให้ข้อคิดไว้ ทุกวันนี้ท่านสอนเกษตรกร
หากมีพื้นที่ทำกินอยู่แปลงหนึ่ง ต้องแบ่งทำมาหากินอย่างไรบ้าง ส่วนหนึ่งปลูกบ้าน
ส่วนหนึ่งเลี้ยงปลา อีกส่วนหนึ่งปลูกผัก หนูเองก็ใช้ชีวิตอย่างนั้น
หนูทำงานอยู่ที่นี่ถือว่าเงินเดือนหนูน้อยก็จริง แต่หนูก็ใช้ชีวิตไม่ฟุ่มเฟือย
แบ่งเงินเป็น 3 ส่วน ส่วนหนึ่งเก็บฝากแบงค์ประจำ
ส่วนหนึ่งเก็บไว้ใช้จ่ายภายใน 1 เดือน
อีกส่วนหนึ่งก็ซื้อของให้รางวัลตัวเองบ้าง หนูอยากให้ทุกคนทำอย่างนี้ค่ะ
จะได้สบายไม่มีหนี้สินกัน
สุดท้ายนี้
หนูคิดว่าเพื่อเป็นการตอบแทนท่าน หนูไม่ต้องคิดทำโครงการใหญ่โตอลังการหรอกค่ะ
แค่หนูเป็นคนดีในสังคม และไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นก็เพียงพอแล้วค่ะ
ท่านจะได้สบายใจ ไม่เครียด และจะได้ไม่มีผลต่อกระทบต่อร่างกายของท่าน
ท่านจะได้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง อยู่คู่บ้านคู่เมืองกับคนไทยทั้งประเทศตลอดไปยิ่งยืนนานค่ะ
เอกสารอ้างอิง
กัลยา สหชาติโกสีย์ และคณะ. ๒๕๕๑.
หลักภาษาไทย ม.๒ (ครูมือครู).
อักษรเจริญทัศน์ อจท. กรุงเทพฯ.
[๒๕ธันวาคม ๒๕๕๖]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น